ผู้ถาม: ฉันศึกษาพระเวทที่ว่าด้วยโหราศาสตร์และสงสัยว่าโหราศาสตร์ใช้ได้ผลไหม? เราถูกกำหนดด้วยดวงดาวไหม หรือด้วยความตั้งใจและจิตใจ หรือด้วยตัวเราเอง?

สัธกูรู: เธอต้องเข้าใจ อินเดียไม่ได้มีแค่คัมภีร์พระเวทหรือวัฒนธรรมพระเวทเท่านั้น ฤๅษีวยาส ผู้รวบรวมคัมภีร์พระเวททั้งสี่ - พ่อของเขาเป็นชาวอารยันและแม่ของเขาเป็นชาวดราวิเดียน (ทราวิฑะ) อย่างไรก็ตาม ในอินเดียตอนใต้ พวกเขาไม่ได้นับถือคัมภีร์พระเวท

วัฒนธรรมดราวิเดียน ไม่เคยใช้โหราศาสตร์โดยการดูดาว แต่ทำนายโดยการดูคน ที่นี้ เรามีสิ่งที่เรียกว่านาดี จอชยัม (หรือ โหราศาสตร์นาดี) แต่วัฒนธรรมอารยันมาพร้อมกับโหราศาสตร์ โหราศาสตร์คือการตีความทางดาราศาสตร์ หากเธอพยายามตีความบางสิ่งบางอย่าง บ่อยครั้งเธอจะพลาดไปหลายเรื่อง มันเลยกลายเป็นการตีความหมายที่ผิดพลาด เพราะเธอพลาดอะไรไปหลายอย่าง

เหตุผลที่วัฒนธรรมอารยันมองดูดวงดาวเสียมาก เพราะว่าพวกเขาเป็นชนร่อนเร่ พวกเขาเดินทางอยู่เสมอ เนื่องจากไม่มีถนน พวกเขาจึงต้องพิจารณาว่าทางไหนเหนือ ทางไหนใต้ ทางไหนตะวันออก ทางไหนตะวันตก เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพวกเขาก็รู้ เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากไฟและดวงดาว ดังนั้นวัฒนธรรมอารยันจึงเกี่ยวกับไฟและดวงดาวเสียมาก แม้กระทั่งทุกวันนี้ หากมีใครอยากจะแต่งงานหรือทำอะไรที่เป็นมงคล พวกเขาก็เดินรอบไฟเพราะวัฒนธรรมชนร่อนเร่อาศัยอยู่ด้วยไฟและดวงดาว ไฟให้แสงสว่าง ความร้อน และปกป้องเธอจากสัตว์ป่า ดวงดาวบอกเธอว่าไปทางไหน เมื่อค่อยๆสังเกตดูดวงดาว พวกเขาก็รู้ว่าต้องเดินไปทางไหน พวกเขาคอยมองขึ้นไปเรื่อยๆ และความรู้เรื่องดวงดาวของพวกเขาก็เพิ่มขึ้น การตีความก็เริ่มขึ้น และพวกเขาก็พัฒนาความเชี่ยวชาญและความรู้เกี่ยวกับดวงดาว

มองบนหรือมองล่าง?

ชนพื้นเมืองของดินแดนนี้ไม่มองขึ้น พวกเขามองผืนโลกเป็นแม่ของพวกเขาเสมอและให้ความสนใจเธอ เพราะพวกเขามองดูพื้นดินโลก พวกเขาจึงเริ่มพัฒนาเกษตรกรรม เกือบจะก่อนที่ใครๆในโลกจะนึกถึงมัน นั่นหมายความว่าพวกเขามีอาหารที่ปลูกอยู่ในที่เดียว พวกเขาไม่ต้องไล่ล่าอะไรเลย พวกเขาไม่ต้องออกไปเก็บอะไรเลย พวกเขารู้ว่าจะเก็บเกี่ยวจากดินได้อย่างไร เมื่อพวกเขารู้วิธีเก็บเกี่ยวจากดินแล้ว พวกเขาก็อยู่ที่เดิม พวกเขาเริ่มสร้างบ้าน เพราะพวกเขาเริ่มสร้างบ้าน พวกเขาจึงเริ่มร้องเพลง เพราะพวกเขาสร้างบ้านและต้องนับจำนวนกระสอบข้าวที่พวกเขาปลูก พวกเขาจึงเริ่มคำนวณ คณิตศาสตร์ ดนตรี สุนทรียภาพ เกษตรกรรม และกระบวนการทางจิตวิญญาณพัฒนาขึ้นในวัฒนธรรมนี้เพราะพวกเขาให้ความสนใจกับผืนโลก นี่เป็นวัฒนธรรมสองประเภทที่แตกต่างกัน แม้แต่ในโลกปัจจุบัน: คนหนึ่งมักจะมองขึ้นเสมอ ไม่ใช่ดูดวงดาวอีกต่อไป แต่มองพระเจ้าองค์นั้นที่อยู่เบื้องบน อีกคนหนึ่งมักจะมองลง วัฒนธรรมการมองลงใช้ชีวิตอย่างสมเหตุสมผลมากกว่าเพราะพวกเขาถือว่าแม่ธรณีเป็นพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงเดินบนโลกอย่างอ่อนโยน

อย่างไรก็ตาม ทางเลือกคือ ไม่ว่าเธอจะพยายามใช้ชีวิตตามการทำนายหรือเธอมีความสามารถในการวางแผนและปฏิบัติตามแผน พวกที่วางแผนไม่เป็นจะมองหาการทำนาย ดวงดาวที่เธอเห็นบนท้องฟ้านั้นอยู่ไกลแสนไกลจนไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ ดาวดวงเดียวเท่านั้นที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อเธอดวงอาทิตย์ และดาวเทียมของมัน อย่างดวงจันทร์ ก็มีอิทธิพลต่อเธอบ้าง โลกใบนี้มีอิทธิพลต่อเธอมากกว่านั้นอีก แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่อยู่ภายในตัวเธอมีอิทธิพลมากที่สุดกับเธอ พวกคนที่สัญญากับตัวเองและปฏิบัติตามแผนไม่ได้ย่อมต้องการคำทำนาย ข้อดีของการทำนายคือ เธอเปลี่ยนมันได้เรื่อยๆ แต่ถ้าจะทำให้แผนจะได้ผล เธอจะต้องให้ความสนใจอย่างมากในการสร้างแผนขึ้นมา แล้วเธอก็ต้องทำตามมัน

ฉันหวังเพียงว่าการทำนายทั้งหมดของเธอจะผิดพลาด นั่นหมายความว่าชีวิตของเธอกำลังจะเกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่เช่นนั้นเธอจะไปทำตามบทที่เขียนโดยคนโง่ที่ไหนก็ไม่รู้ ในอินเดีย ด้วยยี่สิบห้ารูปีหรือห้าสิบรูปี(12-25 บาท) พวกเขาก็จะเขียนชีวิตของเธอให้ อย่าให้ชีวิตเธอแย่ขนาดนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้มีอย่างอื่นที่ไม่ใช่คำทำนายเกิดขึ้นกับเธอ ได้ไหม? ขอให้คำทำนายและความฝันของเธอไม่เป็นจริง เพราะคำทำนายเป็นเพียงความฝันที่โดนบั่นทอน